การจัดการเรียนการสอนเพื่อสร้างเสริมความรู้ ทักษะ เจตคติ และการสื่อสารที่มีประสิทธิผลเพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (SDG 13)
1)ความสำคัญของการศึกษาในการรับมือการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (SDGs 13) การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศส่งผลให้เกิดภัยพิบัติรุนแรงขึ้นและกระทบต่อสุขภาพของประชาชนอย่างมีนัยสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นน้ำท่วม ภัยแล้ง พายุ หรือคลื่นความร้อน สถานการณ์เหล่านี้ทำให้ระบบสาธารณสุขต้องเผชิญกับภาวะฉุกเฉินบ่อยครั้ง. ด้วยเหตุนี้ การศึกษา จึงมีบทบาทสำคัญในการเตรียมความพร้อมให้สังคมรับมือกับวิกฤตเหล่านี้. เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนข้อที่ 13 (SDG 13) เน้นย้ำถึงความจำเป็นในการพัฒนาการศึกษา การสร้างความตระหนักรู้ และศักยภาพของประชาชนในการลดผลกระทบและปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ นอกจากนี้ องค์การยูเนสโก (UNESCO) ยังได้เรียกร้องให้ทุกประเทศบูรณาการการศึกษาเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน (Education for Sustainable Development: ESD) เข้าไว้ในหลักสูตรทุกระดับภายในปี 2025 เพื่อเสริมสร้างให้เยาวชนมีความรู้และทักษะที่จำเป็นในการรับมือวิกฤตสิ่งแวดล้อมและสังคม
2) มหาวิทยาลัยราชพฤกษ์ การจัดการเรียนการสอนเพื่อสร้างเสริมความรู้ ทักษะ เจตคติ และการสื่อสารที่มีประสิทธิผล ได้ผ่านทางวิธีการสอนที่หลากหลาย ประกอบด้วย
2.1) ระบบ MOOC MOOC (Massive Open Online Course)

เป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้การเรียนรู้เรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและการจัดการภัยพิบัติสามารถเข้าถึงผู้เรียนจำนวนมากได้พร้อมกัน. หลักสูตรออนไลน์แบบเปิดวิชา การบริหารงานสาธารณสุขในภาวะฉุกเฉิน ที่พัฒนาขึ้นนี้ มุ่งเน้นให้ผู้เรียนทั่วโลกเข้าถึงความรู้ด้านการจัดการภาวะฉุกเฉินที่เกี่ยวข้องกับภัยธรรมชาติและภัยจากมนุษย์. ผู้เรียนจะได้เรียนรู้ทั้งทฤษฎีและกรณีศึกษาจริง เช่น การจัดระบบบริการสุขภาพในสถานการณ์น้ำท่วมใหญ่ หรือวิธีรับมือกับการแพร่ระบาดของโรคอันเป็นผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ ผ่านสื่อการสอนที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นวิดีโอ บทความ และแบบทดสอบออนไลน์ที่เสริมสร้างความเข้าใจ.

นอกจากนี้ MOOC ยังเปิดโอกาสให้เกิดชุมชนการเรียนรู้ระดับนานาชาติ ผู้เข้าเรียนสามารถแลกเปลี่ยนประสบการณ์และแนวปฏิบัติกับผู้เรียนจากประเทศต่าง ๆ ซึ่งช่วยต่อยอดความรู้และสร้างเครือข่ายของผู้เชี่ยวชาญด้านภัยพิบัติและสาธารณสุขทั่วโลก. 2) การเรียนรู้ในห้องเรียนและการฝึกปฏิบัติเสมือนจริง
2.2)การเรียนการสอนในห้องเรียนและการฝึกปฏิบัติก็มีความสำคัญในการสร้างสมรรถนะในการบริหารจัดการภัยพิบัติ โดยการเรียนในห้องเรียนช่วยให้ผู้เรียนได้ปฏิสัมพันธ์โดยตรงกับผู้สอนและผู้เชี่ยวชาญ มีการอภิปรายและแก้ไขปัญหาเชิงสถานการณ์ที่ซับซ้อนเพื่อเตรียมความพร้อมในการตัดสินใจจริง. ขณะเดียวกัน การฝึกปฏิบัติผ่านการ ซ้อมแผนเสมือนจริง (Simulation Drill) เป็นขั้นตอนสำคัญในการสร้างทักษะการช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติอย่างเป็นระบบ.

ผู้เรียนจะได้ฝึกบทบาทสมมุติในสถานการณ์ภัยพิบัติที่จำลองขึ้น เช่น การซ้อมแผนอพยพตามประเภทของภัยพิบัติและระยะของภัยพิบัติ ในปฏิทินสาธารณภัย หรือการฝึกช่วยเหลือผู้ป่วยฉุกเฉินกรณีหมดสติ การฝึกเหล่านี้ครอบคลุมทุก ระยะของภัยพิบัติ ประกอบด้วย:
ระยะก่อนเกิดภัย: การเตรียมพร้อมและการป้องกัน (เช่น วางแผนฉุกเฉิน จัดเตรียมเวชภัณฑ์และทีมแพทย์)
ระยะขณะเกิดภัย: การตอบสนองฉุกเฉิน (เช่น การค้นหาและช่วยชีวิต การปฐมพยาบาลและรักษาพยาบาลผู้บาดเจ็บ) ระยะหลังภัย: การฟื้นฟูและประเมินผลหลังเหตุการณ์ (เช่น การดูแลสุขภาพจิตผู้ประสบภัย และการฟื้นฟูระบบสาธารณสุขในพื้นที่)

3)ผลลัพธ์และความสอดคล้องกับเป้าหมาย SDG 13 แนวทางการจัดการเรียนการสอนรูปแบบนี้ส่งผลให้ผู้เรียนเกิดความตระหนักรู้และทักษะที่จำเป็นต่อการรับมือกับภาวะฉุกเฉินด้านภูมิอากาศและภัยพิบัติต่าง ๆ โดยตรง. ผลลัพธ์ ที่คาดหวังคือการสร้างบัณฑิตและบุคลากรสาธารณสุขที่มีศักยภาพในการวางแผนและดำเนินการช่วยเหลือเมื่อเกิดภัยพิบัติอย่างมีประสิทธิภาพ สามารถทำงานร่วมกับหน่วยงานรัฐและชุมชนในการลดความเสี่ยงและบรรเทาความสูญเสียเมื่อเกิดเหตุการณ์วิกฤต. นอกจากนี้ การบรรจุเนื้อหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและการจัดการภัยพิบัติลงในหลักสูตรทั้งออนไลน์และออฟไลน์ เป็นการตอบสนองต่อเป้าหมาย SDG 13 ที่มีเป้าประสงค์ในกาเพิ่มขีดความสามารถด้านการรับมือการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศผ่านการศึกษาและการปลูกจิตสำนึกของประชาชน